วิถีประชาธิปไตยกับการพัฒนาจริยธรรม
ปัจจุบัน ประชาชนชาวไทยเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย และความไม่สงบสุขในบ้านเมือง การร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งจะมีการลงประชามติกันในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๐ ที่จะถึงนี้ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจคำว่า “ประชามติ ” ว่า หมายถึง มติของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่แสดงออกในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือที่ใดที่หนึ่ง ( plebiscite ) มติของประชาชนที่รัฐให้สิทธิออกเสียงลงคะแนนรับรองร่างกฎหมายสำคัญที่ได้ ผ่านสภา นิติบัญญัติแล้ว หรือให้ตัดสินใจปัญหาสำคัญในการบริหารประเทศ วิกฤตทางการเมืองที่ เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย สาเหตุจากกลุ่มคนบางกลุ่มขาดคุณธรรม จริยธรรม ไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ คำถามที่พยายามหาคำตอบว่าทำอย่างไรให้ ประชาชนไปเลือกตั้งผู้แทนราษฎรอย่าง ถูกต้อง และเป็นประชาธิปไตยไม่ถูกซื้อเสียง เพื่อเลือกคนดีมาบริหารประเทศ บทเรียนวิกฤติเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ น่าจะเป็นบทเรียนที่ชี้ให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวทางการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดควบคู่กับปัญหาคุณธรรม เพราะขาดความสามัคคี ความเอื้ออาทร และจริงใจต่อตนเองและต่อประเทศชาติ ประการสำคัญประชาชนชาวไทยต้องเข้าใจเข้าถึงคำว่า “ ประชาธิปไตย ” ว่าหมายความว่าอย่างไร พร้อม ๆ กับการน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องของความพอ เพียง ซึ่งหมายถึง พอเพียงในการดำเนินชีวิต พอเพียงในความคิด คือจิตสำนึกในการพิจารณาในการกระทำของตนเองมิให้มีผลกระทบทำให้ส่วนรวมเกิดความเดือดร้อน การคำนึงถึงส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน
คำว่า “ ประชาธิปไตย ” แปลมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า Democracy ซึ่งคำนี้มาจากคำว่า Demokration ในภาษากรีกแปลว่า การปกครองของประชาชน หรือ “ ประชาธิปไตย ” หมายถึง ระบอบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่ การถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ดังนั้นประชาธิปไตยจะดี ก็อยู่ที่ประชาชนที่เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจว่า จะต้องเป็นคนดีและมีปัญญา โดยที่ว่าประชาชนเป็นใหญ่ มีอำนาจตัดสินใจ วินิจฉัยด้วยเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ในเรื่องนี้พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต)ให้ข้อสังเกตไว้ ๒ ประการคือ